หลังจากสถานการณ์ โควิค-19 ในไทยค่อยๆดีขึ้น วันนี้เราชวนมาลองคิดกันเล่นๆว่า ผลกระทบของมันน่าจะส่งผลอย่างไรต่อวิถีชีวิตและพฤติกรรมของ ผู้บริโภค รวมถึงแนวโน้มของธุรกิจ สินค้า และบริการ น่าจะมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือพัฒนาขึ้นไปบ้าง ลองมาแลกเปลี่ยนความคิดกัน
ความคิดของ ผู้บริโภค เปลี่ยน

Photo Credit : Kelly Sikkema, Unsplash
ความสะอาดเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญมากขึ้น
จากเดิมที่คนพกเจลล้างมือดูจะเป็นโรค OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ Obsessive-Compulsive Disorder) ตอนนี้กลายเป็น a must have item ในกระเป๋าและในรถของหลายๆคนมากขึ้น หรือแม้แต่การออกไปทานข้าวบอกบ้าน การถูกเสิร์ฟด้วยช้อนส้อมที่ไม่ได้ใส่ซองป้องกัน ก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ร้านอาหารควรปรับปรุงโดยด่วน

ท่องเที่ยวในประเทศยาวๆไป
หลังจากการปลดล็อคหลังสถานการณ์ โควิด ทำให้มีนักท่องเที่ยวดิ้นรนที่จะไปเที่ยวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการไปท่องเที่ยว ต่างจังหวัด หรือ ละแวกบ้านของตัวเอง จนคำว่า “Staycation” (Stay + Vacation = การเที่ยวใกล้ๆในบ้านเกิดตัวเอง) กลายเป็น Norm ใหม่ของสายเที่ยวไปเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการไปร้านกาแฟฮิป บาร์ลับ หรือ ร้านอาหารท้องถิ่น ที่ไปพบในไกด์บุคของฝรั่ง ก็ถือว่าเป็น “การท่องเที่ยว” เช่นกัน
ความจริงแล้วคำว่า Staycation นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 2005 แล้วก็ค่อยๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2007-2009 หลังอเมริกา และ อังกฤษ ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ มีรายงานว่า Staycation เป็นอีกหนึ่งทางออกในการเยียวยาเศรษฐกิจได้เลยทีเดียว ดังนั้น เราเชื่อว่าเทรนด์ใหม่นี้จะเข้ามาช่วยเยียวยาการท่องเที่ยวในบ้านเราได้เป็นอย่างดี

การทำงานแบบ Work from Home ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว
หลังจากช่วงวิกฤติ โควิค ทำให้ ทุกคนมีความเข้าใจและเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการทำงานที่บ้านมากขึ้น จากเดิมที่เป็นวิธีการทำงานของคนเฉพาะกลุ่ม เช่น Start-up และ Freelance เท่านั้น มาถึงวันนี้บริษัททุกสเกล ขนาดเล็ก และ ใหญ่ สามารถปรับตัว และ นำไปใช้ได้จริง
ความดีความงามนี้ส่งผลดีต่อหลายๆฝ่าย อาทิ พนักงานไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาออฟฟิศเพื่อเช็คชื่อ ทำให้มีเวลาในการทำงานมากขึ้น และ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย ในขณะที่การออกไปประชุมกับลูกค้า ก็สามารถร่นเวลาการเดินทางด้วย Conference Call อย่าง Zoom และ Google Hangout รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการประชุมไปในตัว
การปรับตัวของธุรกิจ และ ผู้ให้บริการ

Home Entertianment จะเข้ามามีส่วนสำคัญมากขึ้นไปอีก
ไม่ใช่แค่การดู Netflix แต่จะรวมไปถึงประสบการณ์จะต้องดีขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภท Eletronic, Technology, Gadget ต่างๆจะมี Home-user Centric (คิดและออกแบบเพื่อการใช้งานที่บ้าน) เพิ่มมากขึ้นในเวอร์ชั่นที่ Advance ขึ้นไปอีก เช่น ลำโพง Surrounded มาพร้อมผนังสะท้อนเสียง, VR แบบเป็นกลุ่มดูพร้อมกัน หรือ Digital Screen ที่ตอบสนอง Wireless Eletronics หลายๆค่ายรวมไปถึงวิวัฒนาการของวงการเกมด้วย

Home Leisure ยกระดับคุณภาพชีวิตที่บ้าน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการการกิน การนอน การตกแต่งห้องนั่งเล่น การเสริมโต๊ะทำงาน ได้รับการตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่า มีสินค้าดังๆหลายตัว กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ไปเลยในช่วงโควิค อาทิ หม้อทอดไร้น้ำมัน, ต้นไม้ฟอกอากาศ, เก้าอี้และโต๊ะทำงาน รวมถึงกิจกรรมต่างๆภายในบ้าน เช่น การทำอาหารเอง อบบราวนี่ หรือแม้แต่การเต้น TIKTOK เองก็ช่วยสร้างสีสันได้เยอะภายในบ้าน

Home Service / Automation ทำให้การอยู่บ้านสะดวกเป็นที่สุด
ไม่ใช่แค่ Food Delivery ที่ฮิตอยู่แล้ว อย่างรายใหญ่ๆ อาทิ GrabFood, LineMan, FoodPanda แต่กลับก็มีผู้ลงสนามมากขึ้น เป็นรายย่อยตามท้องถิ่น อย่าง Local Aroi และ ร้านที่รับออรเดอร์เองโดยตรง เป็นต้น
นอกจากนั้น ใน Industry อื่นๆ ก็เริ่มเข้ามาให้ความสำคัญกับการบริการส่งถึงบ้านกันอย่างห้ามมิได้ เช่น คลินิคเคลื่อนที่ ตรวจสุขภาพถึงบ้าน, การปรึกษาหมอผ่านแอพพลิเคชั่น, และบริการที่มีอยู่แล้วก็จะมีผู้ร่วมสนามมากขึ้น เช่น Supermarket Truck หรือ รถกับข้าวตามหมู่บ้าน, ความงาม การนวด ตัดผม ทำเล็บ ตัดขนสัตว์ ถึงบ้าน รวมไปถึงคาดว่า น่าจะมีการทำ Dining at Home ส่งเชฟไปทำอาหารถึงบ้าน แบบ Exclusive มากขึ้น

Indoor Activity เปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อต้องทำกิจกรรมในที่ปิด ความกังวลเรื่องความสะอาดกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สร้างความหนักใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น โรงหนัง, พับ, ฟิสเนต และ คอนเสิร์ต ที่ต้องปรับตัวกันยกใหญ่ ล่าสุด Drive in Cinema กลายเป็นโปรเจคใหม่ของโรงหนังทั้ง 2 ค่ายใหญ่อย่าง SF-Major ที่ต้องปรับตัวโดยด่วน
ในต่างประเทศเองการดูหนังแบบ Drive in Cinema ก็กลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะที่อเมริกา และเกาหลีใต้

Hygiene is the new luxury
ความหรูหราจะไม่ใช่แค่เรื่องของแบรนด์เท่านั้น แต่ความสำคัญของความสะอาดจะเป็น Priority อันดับต้นๆในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค การทำสินค้าที่มีฟังค์ชั่นที่ส่งเสริมเรื่องความสะอาด มีส่วนเข้ามาเป็นไม้ตายเฉือดเฉือนคู่แข่งออกไปได้ง่ายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเติมเครื่องฟอกอากาศในรถเป็นฟอกทั้งแบคทีเรียและPM2.5, การใช้ผ้าหรือหนังที่มีสาร Anti-bacterial หรือ Self-Cleaning Materials ที่มีการใช้ Nanotechnology ต่างๆ รวมถึงการมีตราประทับแบบ Medical Approved 100% พอๆกับช่วงต้นของยุค ISO

Neighbourhood is blooming
บริการซักรีด เสริมสวย ร้านอาหาร คาเฟ่ จะเปิดให้บริการมากขึ้น และ ใกล้ขึ้น ในระดับหมู่บ้าน หรือ ชุมชน นำพาความเจริญกระจายตามย่านต่างๆ ลดการแออัด และเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวตามย่านก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีในช่วงเสาร์-อาทิตย์ แทนที่ทุกคนจะวิ่งเข้าหาศูนย์กลาง หรือ ห้างใหญ่ๆอย่างเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางของสังคม และ ความต้องการของผู้บริโภค ถ้าหากธุรกิจที่คุณทำอยู่ตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถือว่าคุณน่าจะมาถูกทางแล้ว แต่ถ้าหากว่าคุณกำลังได้รับผลกระทบจาการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะ Disrupt ธุรกิจตัวเอง โดยมองจากการแก้ปัญหา (Problem Solving) ทั้งในเชิงธุรกิจ และ ความต้องการของผู้บริโภค เริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ ด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็น การใช้ Tool อย่าง Business Model Canvas, User Centric หรือ Service Design ธุรกิจของคุณอาจจะผลิกบทบาทและสร้างสิ่งใหม่ให้กับวงการก็เป็นได้

Arktic is a multidisciplinary digital agency that tackles problem with design thinking & serivice design approach.
Featured Image : Kelly Sikkema, Unsplash